◉ รักษาสิวที่ถูกวิธี และ ได้มาตรฐาน
ส่วนการกดสิวและสิวจะหายเป็นความเชื่อที่ผิดๆ
◉ สิว เป็นการอักเสบของผิวหนังที่มีการอุดตันของน้ำมันและเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วบริเวณ
ใบหน้า ลำคอ หน้าอก
สิว เกิดได้หลายปัจจัยทั้งภายในและภายนอก ดังนั้น ลองมาสำรวจกันว่าสาเหตุที่สิวไม่ยอมหายและหมดไปจากใบหน้า จะมีอะไรบ้าง
1.ล้างหน้าไม่สะอาดหรือสครับผิวหน้า
ควรล้างหน้าให้สะอาด อย่าให้มีสิ่งสกปรก ความมันอุดตัน เพราะว่าการล้างหน้าไม่สะอาด จะทำให้รูขุมขนอุดตันแล้วเกิดสิวในที่สุด หรือการสครับที่มีกรดธรรมชาติสูง ๆ อย่าง AHA BHA จะทำให้ผิวที่เป็นสิวเกิดอาการอักเสบและเกิดการระคายเคืองได้
2.ฮอร์โมน
จะเริ่มมีสิวฮอร์โมน ในช่วงวัยรุ่น ร่างกายของเราผลิตฮอร์โมน (androgens) ซึ่งกระตุ้นการผลิตไขมันในต่อมไขมันและการผลิตไขมันส่วนเกิน (seborrhea) ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุที่สามารถนำไปสู่การเกิดสิวฮอร์โมนได้
หรือ เลยช่วงวัยรุ่นไปไกล ก็ไม่ได้หมายความว่าจะห่างไกลจากสิวนะคะ โดยเฉพาะสาวๆ ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เราเป็นสิวได้ ไม่ใช่แค่ฮอร์โมนในช่วงวัยรุ่นเท่านั้น แต่รวมถึงฮอร์โมนในช่วงมีประจำเดือนด้วย ในช่วงวันนั้นของเดือน ก็ต้องดูแล รักษาผิวหน้าให้ดีค่ะ พยายามอย่าให้มีอะไรไปอุดตันรูขุมขน ล้างหน้าให้สะอาด เพื่อป้องกันสิว
3.เครื่องสำอาง
เครื่องสำอางก็อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้สิวขึ้น ถ้าหากเราล้างออกไม่สะอาด แต่ก็มีอีกอย่างที่เป็นตัวนำสารต่างๆ ก็คือแปรงแต่งหน้าเนี่ยแหละ เพราะ ในแปรงแต่งหน้าเต็มไปด้วยเครื่องสำอาง ฝุ่นละออง แบคทีเรีย เหงื่อ ถ้าไม่เคยล้างเลย สิวไม่ยอมหายแน่นอน
หรือเครื่องสำอางมีสาร ปรอท(mercury) ,ไฮโดรควิโนน (Hydroquinone),สเตียรอยด์ (Steroid) ก็ทำให้ผิวหน้าเกิดสิวหรือผิวหร้าแพ้อย่างรุนแรง
4.อดนอนบ่อยๆ
การอดหลับอดนอนบ่อยๆ หรือนอนไม่พอ จะทำให้เกิดความเครียดในร่างกายของเรา ซึ่งความเครียดเป็นสาเหตุที่ทำให้สิวขึ้นได้ ด้วยเหตุนี้เลยทำให้คนที่นอนน้อย เจอกับปัญหาเรื่องสิวอยู่บ่อยๆ ไม่หายขาดสักที
5.ล้างหน้าไม่สะอาด
เราควรล้างหน้าให้สะอาด อย่าให้มีสิ่งสกปรก ความมันอุดตัน เพราะว่าการล้างหน้าไม่สะอาด จะทำให้รูขุมขนอุดตันแล้วเกิดสิวในที่สุด
◉ สิวสเตียรอยด์
ปัจจุบันครีมทาหน้า ที่ไม่ได้มาตรฐานสามารถพบเห็นหรือวางขายตามท้องตลาดทั่วไป
สถิติส่วนใหญ่พบว่า สาวๆ หนุ่มๆ จะเลือกซื้อครีมทาหน้า ที่กำลังมีกระแสและโด่งดัง แต่ไม่คำนึงถึงผลเสียที่ตามมา เพราะส่วนผสมของครีมทาหน้าบางตัว ทำให้เกิดอาการแพ้ต่อผิวหน้า และอาจเกิดผลข้างเคียงที่ตามมา
เกิดสิวเม็ดใหญ่ สิวอักเสบ บนใบหน้า อาจเกิดจากครีมทาหน้า ที่มีส่วนผสมของสารปรอท ยิ่งใช้ครีมทาหน้ามากเท่าไหร่จะยิ่งเกิดการสะสมของสารปรอทมากเท่านั้น จึงทำให้เกิดการทำลายเซลล์ผิวหนัง และก่อให้เกิดเป็นมะเร็งผิวหนังได้
บริเวณทั่วใบหน้าเกิด เม็ดตุ่มใสๆ นูนแดง มีผดผื่น เกิดจากใบหน้าของเราได้รับสารสเตียรอยด์ที่มีปริมาณมาก และพอใช้ไปสักระยะหนึ่ง จะรับรู้ได้ว่าผิวหน้าของเราบางลงและได้รับสารมลพิษเข้าสู่ผิวหน้าได้ง่าย
สิวสเตียรอยด์ เกิดจากอะไร ?
1. ผลิตภัณฑ์ที่ผสมสารสเตียรอยด์ ผลิตภัณฑ์มีส่วนผสมของสารสเตียรอยด์ ที่ช่วยทำให้หน้าขาวใส ไร้สิว ซึ่งเห็นผลเร็วในช่วงแรก ๆ แต่เมื่อใช้ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานาน ๆ จะเกิดอาการที่เรียกว่า ผิวหน้าติดสารสเตียรอยด์ ทำให้ผิวบอบบาง แพ้ง่าย และเป็นสิว หรือที่เรียกว่าหน้าบางลงนั้นเอง
*การรักษาขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการแต่ละบุคคล
2. การฉีดสิว เพราะช่วยให้สิวยุบแบบรวดเร็วทันใจภายใน 24-48 ชั่วโมง แต่รู้หรือไม่ว่าสารที่ใช้ฉีดสิวคือสารสเตียรอยด์ ดังนั้นการฉีดสิวเป็นประจำอาจทำให้ผิวหน้าติดสารสเตียรอยด์ได้
3. ยารักษาสิวผสมสารสเตียรอยด์ การใช้ยารักษาสิวผสมสารสเตียรอยด์ ซึ่งช่วยรักษาผื่นแพ้ ผื่นคัน รวมถึงลดการอักเสบได้เป็นอย่างดี แต่เมื่อใช้ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานาน หรือใช้ในปริมาณที่สูงเกินไปจะทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ผิวแตกลาย ผิวบอบบางแพ้ง่าย และเป็นสิวตามมา
◉อาการของคนเป็นสิวสเตียรอยด์
ผด ผื่น จะขึ้นง่ายกว่าเดิม
เป็นสิวผดแบบปื้นๆ
ผิวแดงเหมือนแพ้อะไรมา
มีอาการคัน
ผิวเริ่มบางและแพ้ง่าย
ผิวหน้ามันง่ายมากกว่าปกติ
◉ลักษณะของสิวสเตียรอยด์
สิวผดเป็นปื้นแดงๆ ทั่วใบหน้า
สิวอักเสบจะเห่อขึ้นมากระจุกอยู่บริเวณใดบริเวณหนึ่งและจะขึ้นเยอะมากในบริเวณที่ทาครีมที่มีสารสเตียรอยด์
สิวอักเสบมีขนาดเม็ดที่ใหญ่และเจ็บ แต่จะไม่มีหัว ใช้เวลานานกว่าจะยุบ
สิวจุดสีขาวหรือสีเหลือง ที่มีลักษณะเป็นตุ่มหนองปูดบวมขึ้นมา
◉ ลักษณะและอาการที่ปรากฏขึ้นอยู่กับประเภทของสิวแต่ละชนิดและความรุนแรงของการอักเสบ
วันนี้เราจะพาไปดูกันว่าคุณเป็นสิวแบบไหน ชนิดไหนกันครับ
*การรักษาขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการแต่ละบุคคล
สิวชนิดที่ 1 สิวอุดตันหัวเปิด หรือ สิวหัวดำ คือ สิวอุดตัน ซึ่งเกิดจากไขมัน แบคทีเรีย และเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วสะสมอยู่ในรูขุมขน โดยมีลักษณะเป็นตุ่มเล็ก ๆ สีดำขึ้นบนบริเวณใบหน้า และผิวหหนังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
*การรักษาขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการแต่ละบุคคล
สิวชนิดที่ 2 สิวอุดตันหัวปิด หรือ สิวหัวขาว สิวประเภทนี้จะไม่มีหัวให้เรากดออก แล้วถ้าเรายิ่งไปกดไปบีบไขมันที่ไม่มีทางออกจะทะลักกลับไปในผิว ทำให้เนื้อเยื่อเสียหายได้ โดยจะมีลักษณะเป็นตุ่มนูนเล็กน้อย มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.1-2 มิลลิเมตร มีสีเดียวกับผิวหนัง สิวชนิดนี้จะเกิดจากการอุดตันสะสมอยู่ในท่อเปิดของต่อมไขมันและรูขุมขน
*การรักษาขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการแต่ละบุคคล
สิวชนิดที่ 3 สิวอักเสบเกิดจากสิวหัวปิดหรือสิวหัวขาวที่ได้รับการติดเชื้อแบคทีเรีย ทำให้เกิดการอักเสบ มีลักษณะเป็นตุ่มนูน บวมแดง อยู่บนผิวหนัง ถ้ามีการอักเสบรุนแรงจะกลายเป็นสิวหัวหนองและสิวอักเสบขนาดใหญ่
*การรักษาขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการแต่ละบุคคล
สิวชนิดที่ 4 สิวหัวหนองเป็นตุ่มสิวอักเสบหัวหนอง ซึ่งเกิดจากปฏิกิริยาของร่างกายที่ให้เม็ดเลือดขาวเข้ามากำจัดเชื้อแบคทีเรียและสิ่งแปลกปลอมบนผิวหนัง คนที่มีสิวหนองมักมีอาการเจ็บหรือปวดบริเวณสิวร่วมด้วย และมีโอกาสเป็นหลุมสิวได้เนื่องจากหนองสามารถทำลายคอลลาเจนและอีลาสตินที่อยู่ในชั้นผิวหนังได้
*การรักษาขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการแต่ละบุคคล
สิวชนิดที่ 5 สิวผด เป็นเนื้องอกของต่อมเหงื่อ จะเห็นเป็นตุ่มเล็กๆ จัดว่าเป็นผดที่อยู่บนผิวหน้า พวกนี้เวลาตากแดดร้อนๆ ตุ่มจะชัดเจนขึ้น มีลักษณะเเข็ง เพราะเป็นต่อมเหงื่อที่ไม่มีรูอยู่ใต้ผิวหนังส่วนใหญ่จะเกิดบริเวณรอบตา เพราะต่อมเหงื่อจะเยอะ เกิดจากเวลาที่เรามีเหงื่อออกแล้วออกไม่หมด
*การรักษาขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการแต่ละบุคคล
สิวชนิดที่ 6 สิวหัวช้าง เป็นสิวอักเสบที่มีความรุนแรงมาก มักมีลักษณะเป็นตุ่มบวมแดงขนาดใหญ่ เมื่อกดลงไปจะรู้สึกแข็ง และมีอาการเจ็บปวด เพราะเกิดจากการอักเสบภายใต้ผิว พบได้มากบริเวณใบหน้า โดยเฉพาะจมูก คาง และหน้าผาก เป็นสิวที่รักษาให้หายได้ยากมาก
◉ การรักษาสิวที่ผิดวิธี ได้แก่การกดสิว
การกดสิว หรือเจาะสิวเป็นวิธีรักษาสิวอีกวิธีหนึ่งที่มีทั้งผลดีและผลเสีย หากจำเป็นต้องบีบสิว หรือเอาหัวสิวออก ก็อาจเสี่ยงที่สิวจะไม่หายแถมยังทิ้งรอยแผล รอยดำคล้ำ ไม่เรียบไว้บนผิวหน้า
แต่ทางการแพทย์ไม่แนะนำให้กดสิว ทั้งการกดสิวเองโดยใช้มือหรือหมอทั่วไปกดสิวให้ เพราะจะทำให้เกิดรอยดำบนใบหน้าและถ้าเรากดสิวผิดวิธี หรือกดสิวบ่อยๆ อาจทำให้ใบหน้าช้ำเป็นรอย หรือเป็นแผลเป็นที่รักษาได้ยาก
*การรักษาขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการแต่ละบุคคล
การกดสิวไม่ใช่ทำให้สิวหายเร็วขึ้นซึ่งเป็นการเช้าใจผิดอย่างมาก แถมยังอาจทำให้เกิดการติดเชื้อ และการรักษาแผลหรือรอยดำเหล่านี้รักษายากและใช้เวลานาน
และหลังจากการกดสิวแล้วบนใบหน้าจะเกิดรอยดำ ทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายมากขึ้นซื้อยามาทา กว่าจะหายก็ลำบาก
หากเป็นสิว แนะนำให้ให้ทายาที่ถูกกับชนิดของสิวแต่ละประเภท จนกว่าสิวจะหายหรือปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังดีกว่า
ปัญหาส่วนใหญ่ที่คนไข้เจอ ก็คือ ไม่รู้จะรักษาแผลเป็สิวหลุมสิวด้วยวิธีไหนดี เพราะหลุมสิวมีหลายแบบ
ซึ่งแต่ละชนิดก็ใช้วิธีรักษาที่แตกต่างกันทั้ง กรอผิว, แต้มน้ำยา, เข็มตัดยกหลุมสิว, ฉีดฟิลเลอร์ หรือบางทีก็ต้องใช้การรักษาร่วมกันหลายๆวิธี เลเซอร์ลบรอยแผลเป็นหลุมสิวเป็นวิธีหนึ่งที่ใช้รักษาแผลเป็นหลุมสิวที่ได้ผลค่อนข้างดี
*ลักษณะอาการแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ บางคนเป็นไม่เยอะก็รักษาหายใช้เวลาไม่นาน บางคนอาการรุนแรงอาจจะใช้เวลานานในการรักษา
สอบถามและปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านผิวหนังประสบการณ์กว่า 22 ปี
ได้ทุกวันตั้งแต่เวลา
จันทร์ ถึง ศุกร์ 12.00 น. - 20.00 น.
เสาร์ ถึง อาทิตย์ 12.00 น. - 17.00 น.
#โทร : 088-521-8585
#Line : 1999MSC
#คลินิกผิวหนังมหานคร